วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

การแข่งเรือบก

             การแข่งเรือบก

     

      อุปกรณ์และวิธีการเล่น

การแข่งขันเรือบกมีอุปกรณ์และวิธีเล่นดังต่อไปนี้

      อุปกรณ์

ไม้ไผ่ขนาด ๘ เมตร แทนลำเรือแข่งขนาดใหญ่ และผู้แข่งขัน ๙ คน และไม้ไผ่ ๕ เมตร แทนลำเรือแข่งขนาดเล็กและผู้แข่งขัน ๖ คน

    วิธีการเล่น

๑. รับสมัครเรือแข่งขนาดอายุ ๙-๑๐ ปี และ ๑๐-๑๔ ปี ให้ผู้แข่งขันเรือบกแต่ละขนาด ยืนคร่อมลำไม้ไผ่ แข่งครั้งละ ๒ ลำ
๒. ปล่อยเรือบกออกไปพร้อมกันโดยให้วิ่งในโคลนและจับเวลา
๓. เรือบกลำที่ชนะเลิศ ต้องชนะ ๒ เที่ยวในกำหนด ๓ เที่ยวซึ่งเป็น กติกาเดียวกับการแข่งขันเรือยาวทั่วไป
๔. ความสนุกสนานในการแข่งขันเรือบกอยู่ที่ผู้แข่งขันเรือบกในแต่ละลำจะต้องวิ่งลุยโคลนโดยพร้อมเพียงกัน ซึ่งถ้าผู้เข้าแข่งขันคนใดเสียจังหวะ หรือไม่พร้อมกับคนอื่น ๆ เรือบกก็จะพากันล้มลงคลุกโคลนตมแล้วทุกคนต้องวิ่งจนกว่าจะถึงเส้นชัย

โอกาสในการแข่งขันเรือบก
แต่เดิมบริเวณหลังวัดเนินกุ่ม ตำบลเนินกุ่ม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลกมีลำคลองสามารถแข่งขันเรือยาวเป็นประจำทุกปี ต่อมาแม่น้ำลำคลองตื้นเขิน ชาวตำบลเนินกุ่ม จึงจัดการละเล่นพื้นบ้าน "การแข่งขันเรือบก" ขึ้นในงานประจำปีของวัดเนินกุ่ม ระหว่าง วันแรม ๑-๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี (ประมาณเดือนกันยายน)

คุณค่าของการแข่งขันเรือบก
เป็นการส่งเสริมการออกกำลังกาย ฝึกความขยัน อดทน มานะพยายาม เป็นการส่งเสริมความสามัคคีและฝึกเด็กให้รู้จักมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะและรู้อภัย

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

หมากขุม การละเล่นพื้นบ้านไทย

        

             หมากขุม

     อุปกรณ์

๑. รางหมากขุม นิยมทำด้วยไม้นุ่น ไม้ทองหลาง ไม้ขนุน ทำเป็นรูปคล้ายเรือ ยาวประมาณ ๙๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๑๐ - ๑๓ เซนติเมตร ด้านบนขุดเป็นหลุมขนาดเท่ากันเรียงเป็น ๒ แถว เป็นหลุมกลมคล้ายหลุมขนมครก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๘ - ๙ เซนติเมตร ลึกประมาณ ๔ - ๕ เซนติเมตร ในแต่ละแถวนิยมมี ๗ หลุม ตรงส่วนปลายของรางหมากขุมทั้ง ๒ ข้าง มีหลุมขนาดใหญ่พิเศษข้างละหลุม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐ - ๑๓ เซนติเมตร อาจทำเป็นหลุมกลมหรือหลุมรูปสามเหลี่ยม เรียกหลุมใหญ่ทั้ง ๒ ข้างนี้ ว่า แม่เริน (แม่เรือน) หัวแม่เรินหรือหัวเมือง
๒. หมาก หรือลูกหมากขุม นิยมใช้เมล็ดสวาด หรือเมล็ดสวด ซึ่งมีลักษณะกลมรีเปลือกแข็งเป็นสีเทาอ่อน มีขนาดพองาม เบา ทน และดูสะอาดตา หรืออาจใช้เมล็ดพืชอย่างอื่นที่มีขนาดและลักษณะใกล้เคียงกันก็ได้ เช่น เมล็ดมะขามสุก บางทีใช้ดินเหนียวปั้นเป็นลูกธนูแล้วตากแห้ง แต่ไม่นิยมเพราะไม่ทนและเปื้อนมือง่าย ปัจจุบันนิยมใช้ลูกแก้วแทน

    วิธีเล่น

๑. ผู้เล่น ๒ คน นั่งอยู่คนละข้างของรางหมากขุมหันหน้าเข้าหากัน นำหมากมาใส่หลุมในแดนของตนทุกหลุมละ ๗ เม็ด (ไม่ใส่หลุมแม่เริน)
๒. การเริ่มเล่นจะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดินก่อน หรือเดินพร้อมกันก็ได้ ฝ่ายใดเดินตายก่อนก็หยุด ให้อีกฝ่ายหนึ่งเดินต่อจนตาย แล้วผลัดให้ฝ่ายที่ตายก่อนเดินต่อไป
๓. การเดินหมากจะเริ่มจากหยิบหมากทั้งหมดในหลุมใดหลุมหนึ่งทางแดนหรือเมืองของตน (หลุมทางด้านตนเอง) เดินหรือวางหมากลงหลุมทีละเม็ดจากขวาไปซ้าย เมื่อผ่านหลุมแม่เรินของตน(อยู่ทางซ้ายมือ) เอาหมากขึ้นเริน (ลงหลุมแม่เรือน)ทุกครั้ง แล้วเดินเลยไปในแดนของฝ่ายตรงกันข้าม เดินไปเรื่อย ๆ เมื่อถึงหลุมสุดท้ายของแดนตรงข้าม ก็เดินต่อในหลุมแรกของแดนตน (ไม่เดินหรือใส่ในหลุมแม่เรินของฝ่ายลงข้าม ซึ่งอยู่ทางขวามือของตน) เดินไปเรื่อย ๆ จนกว่าหมากจะหมด โดยมีกติกา ดังนี้
๓.๑ ถ้าหมากเม็ดสุดท้ายตกลงหลุมที่มีหมากอยู่เดิม ให้เอาหมากทั้งหมดในหลุมนั้นเดินต่อไปได้
๓.๒ ถ้าหมากเม็ดสุดท้ายตกตรงหลุมที่ไม่มีหมากเหลืออยู่เลย ถือว่าการเดิน "ตาย" ต้องหยุดทันที เปลี่ยนให้ฝ่ายตรงข้ามเดินต่อไป
๓.๓ เมื่อผู้เดินหมากแต่ละฝ่ายเดินหมากจน "ตาย" ต้องตรวจดูว่าตายภายในแดนของตัวเองหรือไม่ ถ้าตายในแดนของตนเองตรงหลุมที่มีหมากอยู่ของฝ่ายตรงข้าม ผู้ตายจะได้ "กิน" หรือ "กินแทน" หมากในหลุมนั้นทั้งหมดของฝ่ายตรงข้ามทันที โดยนำหมากทั้งหมดนั้นไปใส่ในแม่เรินของฝ่ายตน แล้วจึงเปลี่ยนให้ฝ่ายตรงข้ามเดินต่อไป
๓.๔ ถ้าหมากเม็ดสุดท้ายมาตกตรงแม่เรินของฝ่ายตนพอดี ผู้นั้นยัง "ไม่ตาย" มีสิทธิ์ได้เดินต่อโดยเลือกหยิบหมากในหลุมใดหลุมหนึ่งในแดนของตนเองเพื่อเดินต่อไป (ห้ามหยิบหมากของแดนฝ่ายตรงกันข้าม)
๔. เมื่อผลัดกันเดินหมากไปเรื่อย ๆ จนหมากในแดนของทั้งสองฝ่ายหมด ไม่มีหมากให้เดินการแข่งขันรอบนั้นก็ยุติลง แต่ละฝ่ายนำหมากจากแม่เรินของตนเรียงใส่หลุมในแดนของตนใหม่ ฝ่ายที่เสียหมากไปมากหมากจะไม่ครบทุกหลุม (หลุมละ ๗ เม็ด) ถ้าขาดไปกี่หลุมถือว่าเป็นหม้ายไปเท่านั้นหลุม หลุมที่เป็นหม้ายจะต้องเริ่มจากหลุมแรกทางขวามือ (เริ่มหลุมที่ ๗ จากหลุมซ้ายมือ) หลุมที่เป็นหม้ายจะยกเลิกไม่ใช้เล่นในรอบใหม่ ถ้าฝ่ายใดมีหลุมที่เป็นหม้ายจำนวนมากจะเสียเปรียบคู่ต่อสู้ เพราะโอกาสที่จะกินหมากหรือกินแทนของฝ่ายตรงข้ามจะลดลง เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ จนฝ่ายหนึ่งมีหลุมเป็นหม้ายเกือบหมด หรือจนหมดทุกหลุม ถือว่าเป็นการแพ้โดยสิ้นเชิง

วิ่งขาโถกเถก


      วิ่งขาโถกเถก



     การละเล่น “ขาโถกเถก หรือ ไม้โถกเถก” สีสันหนึ่งในงานแถลงข่าวการจัดงานฉลองวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเตรียมจัดขึ้นภายใต้แนวคิด“วัฒนธรรมนำไทย” ในเดือนเมษายนนี้

   อุปกรณ์และวิธีการเล่น

อุปกรณ์ ไม้ไผ่กิ่ง ๒ ลำ ถ้าไม่มีก็เจาะรูแล้วเอาไม้อื่นๆ สอดไว้เพื่อให้เป็นที่วางเท้าได้
วิธีการเล่น ผู้เล่นจะเลือกไม้ไผ่ลำตรง ๆ ที่มีกิ่ง ๒ ลำที่กิ่งมีไว้สำหรับวางเท้าต้องเสมอกันทั้ง ๒ ข้าง ผู้เล่นขึ้นไปยืนบนแขนงไม้เวลาเดินยกเท้าข้างไหนมือที่จับลำไม้ไผ่ก็จะยกข้างนั้น ส่วนมากเด็ก ๆ ที่เล่นมักจะมาแข่งขันกัน ใครเดินได้ไวและไม่ตกจากไม้ถือว่าเป็นผู้ชนะ
  โอกาสที่เล่น
การวิ่งขาโถกเถก ถือเป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาส โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์

  สาระ
นอกเหนือจากความสนุกสนานแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการออกกำลังกาย บริหารส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี เดิมผู้ที่ใช้ขาโถกเถกเป็นชายหนุ่มไปเกี้ยวสาว เสียงเดินจากไม้เมื่อสาวได้ยินก็จะมาเปิดประตูรอเพื่อพูดคุยกันตามประสาหนุ่มสาว หรือบ้านสาวเลี้ยงสุนัขไม้โถกเถกยังเป็นอุปกรณ์ไล่สุนัขได้ด้วย

ม้าจกคอก



         ม้าจกคอก





      การเล่นม้าจกคอก ภาคกลางเรียก ลาวกระทบไม้ การเล่นชนิดนี้เข้าใจว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากการละเล่นของชาวลัวะ

    อุปกรณ์และวิธีเล่น

จำนวนผู้เล่น ตั้งแต่ ๓ คนขึ้นไป
อุปกรณ์ 
๑. ไม้กลมขนาดกำรอบ ยาวประมาณ ๕ ศอก จำนวน ๒ ท่อน
๒. ขอนไม้สูงประมาณ ๑ คืบ ยาวประมาณ ๑-๒ ศอก จำนวน ๒ ท่อน
สถานที่เล่น เล่นบริเวณที่เป็นลานกว้าง

   วิธีการเล่น

๑. แบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายแรกมี ๒ คน สำหรับถือท่อนไม้ที่วางขนานบนขอนไม้ แล้วกระทบกันเป็นจังหวะ ส่วนฝ่ายที่ ๒ มี ๒ คนขึ้นไป สำหรับเป็นผู้เต้น
๒. ให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ระหว่างคาน ผู้ถือไม้คานทั้งคู่ก็ทำสัญญาณ โดยยกคานไม้ทั้งคู่กระแทกลงบนไม้หมอน ระหว่างที่เคาะจังหวะอยู่นั้นผู้เล่นต้องเต้นไปด้วย เมื่อให้สัญญาณเคาะ ๓ ครั้งแล้ว ครั้งที่ ๔ ผู้ถือจะเอาคานทั้งสองเข้าชิดกัน ผู้เต้นจะต้องกระโดดให้สูงกว่าครั้งแรกของจังหวะและแยกขาออกให้พ้นไม้ ถ้าถูกหนีบเรียกว่า ม้าขำคอก หรือม้าติดคอก คู่ที่ถูกไม้หนีบจะต้องออกไปเปลี่ยนให้ผู้ที่ถือคานอยู่เดิมนั้นเข้ามาเต้นในระหว่างคานนั้นบ้าง

  โอกาสหรือเวลาที่เล่น

การเล่นม้าจกคอกนิยมเล่นในวันขึ้นปีใหม่ (สงกรานต์) ของล้านนา

การละเล่นเป่ากบ

           การละเล่นเป่ากบ




 เป่ากบ

เป่ากบ เป็นการละเล่นของเด็กที่เล่นกันในร่ม เล่นได้ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย เด็ก ๆ จะเรียกยางวงที่ตัวเองจะเป่าว่า “อีเต” (หมายถึง ยางที่ตัวเองมั่นใจว่าเป่าดีที่สุด) แล้วตั้งกติกาว่า ถ้าเป่ายางกบกันได้ จะได้กันครั้งละกี่เส้น อาจจะเป็นครั้งละ 5 เส้น หรือ 10 เส้น ก็แล้วแต่เด็ก ๆ จะตกลงกัน


   วิธีการเล่น


ผู้เล่นมีจำนวน ๒ คน หรือเป็นทีมก็ได้ สถานที่เล่น ในที่ร่ม ใช้พื้นที่เรียบ ๆ เช่น พื้นซีเมนต์ พื้นกระดาน หรือพื้นโต๊ะ ซึ่งผู้เล่นจะเอายางเส้น จะเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่ หรืออาจจะเป็นวงสีต่าง ๆ อยู่ที่ความชอบ ได้แก่ สีเขียว สีแดง สีน้ำตาล เป็นต้น นำมาวางบนพื้นคนละ ๑ เส้น ให้อยู่ห่างกันประมาณ ๑ ฟุต ผู้เล่นจะผลัดกันเป่ายางเส้น ของตนไปข้างหน้าทีละน้อย ๆ จนยางเส้นทั้งสองมาอยู่ใกล้กับผู้เล่นคนใดเป่าให้ยางเส้นของตนไปทับยางเส้นของฝ่ายตรงข้ามได้ก็จะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายแพ้จะต้องจ่ายรางวัลให้กับผู้ชนะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยางเส้น แต่อาจให้รางวัลอื่นๆ ก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน


   อุปกรณ์


- ยางวง (ยางเส้น) วงใหญ่ หรือวงเล็กก็ได้ แล้วแต่ความชอบและความถนัด

- ผู้เล่นจำนวนตั้งแต่ ๒ คน หรือมากกว่า เล่นทั้งเด็กชายและเด็กหญิงบางครั้งอาจเล่นเป็นทีมก็ได้

- สถานที่ เช่น พื้นซีเมนต์ พื้นกระดาน หรือพื้นโต๊ะ


  ประโยชน์และคุณค่าในการละเล่นเป่ากบ


-การเล่นเป่ากบ เป็นการเล่นที่ให้ความสนุกสนานแล้วยังเป็นการฝึก การรู้กำหนดจังหวะ
- ฝึกสังเกต ไหวพริบในการเป่าของคู่ต่อสู้ ซึ่งจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เด็กรู้จักคิดให้รอบคอบก่อนที่จะเป่า ถ้าเป่าโดยไม่คิดอาจจะผิดพลาดได้
- เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักความรัก ความสามัคคี

ชักเย่อ


             ชักเย่อ






              ชักเย่อ เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่สามารถใช้เป็นกิจกรรมเชิงเสริมสร้างความสามัคคีได้โดยไม่จำกัดว่าเป็นองค์กร หน่วยงานหรือชุมชน ในภูมิภาคใด เพราะเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่สนุกสนานและยังถือได้ว่าเป็นการกีฬาประเภทหนึ่งด้วย ซึ่งการละเล่นหรือการแข่งขันนั้นต้องแบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่ายๆ ละเท่าๆ กัน และถ้ามีจำนวนมากกว่า 1 ทีมก็ต้องมีการจัดโปรแกรมการแข่งขันกันอีกที 

วิธีเล่นชักเย่อ

หาเชือกขนาดใหญ่เหนียว 1 เส้น ยาวประมาณ 10-20 เมตร หากึ่งกลางของความยาวเชือก ใช้กระดาษสีหรือผ้าสีสดผูก จากนั้นแบ่งคนเล่นเป็นสองพวกจำนวนเท่ากัน แต่ละพวกให้ยึดปลายเชือกไว้คนละข้าง กรรมการขีดเส้นตรงลงบนพื้น 1 เส้น นำส่วนที่ผูกด้วยกระดาษสี ผ้าสีวางทับเส้นตรงที่ขีดให้มีลักษณะเป็นกากบาท เมื่อผู้เล่นพร้อมจึงให้สัญญาณ (ใช้การตีธงหรือให้สัญญาณเสียงนกหวีดก็ได้) ทั้งสองฝ่ายจะออกกำลังดึงเชือกอย่างเต็มความสามารถ 

การตัดสินชักเย่อ

ขณะที่มีการชักเย่อ ผู้ตัดสินจะยืนอยู่ใกล้กึ่งกลางเชือกเมื่อเห็นว่าข้างใดดึงเชือกไปทางแดนของตนมากสุดก็ตัดสินให้ชนะ

เทศกาลที่เล่นชักเย่อ

ในฤดูแล้งเล่นได้ตลอดเวลา การเล่นจะเล่นในที่แจ้งสนามหญ้า ทุกเทศกาลที่ต้องการให้เกิดความสนุกสนาน รื่นเริง เนื่องจากไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์มาก 

       คุณประโยชน์ของชักเย่อ

เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียง เป็นการออกกำลังกายและรื่นเริงสนุกสนาน 

     ชักเย่อ เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่สามารถใช้เป็นกิจกรรมเชิงเสริมสร้างความสามัคคีได้โดยไม่จำกัดว่าเป็นองค์กร หน่วยงานหรือชุมชน ในภูมิภาคใด เพราะเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่สนุกสนานและยังถือได้ว่าเป็นการกีฬาประเภทหนึ่งด้วย ซึ่งการละเล่นหรือการแข่งขันนั้นต้องแบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่ายๆ ละเท่าๆ กัน และถ้ามีจำนวนมากกว่า 1 ทีมก็ต้องมีการจัดโปรแกรมการแข่งขันกันอีกที 

      วิธีเล่นชักเย่อ

หาเชือกขนาดใหญ่เหนียว 1 เส้น ยาวประมาณ 10-20 เมตร หากึ่งกลางของความยาวเชือก ใช้กระดาษสีหรือผ้าสีสดผูก จากนั้นแบ่งคนเล่นเป็นสองพวกจำนวนเท่ากัน แต่ละพวกให้ยึดปลายเชือกไว้คนละข้าง กรรมการขีดเส้นตรงลงบนพื้น 1 เส้น นำส่วนที่ผูกด้วยกระดาษสี ผ้าสีวางทับเส้นตรงที่ขีดให้มีลักษณะเป็นกากบาท เมื่อผู้เล่นพร้อมจึงให้สัญญาณ (ใช้การตีธงหรือให้สัญญาณเสียงนกหวีดก็ได้) ทั้งสองฝ่ายจะออกกำลังดึงเชือกอย่างเต็มความสามารถ 

      การตัดสินชักเย่อ

ขณะที่มีการชักเย่อ ผู้ตัดสินจะยืนอยู่ใกล้กึ่งกลางเชือกเมื่อเห็นว่าข้างใดดึงเชือกไปทางแดนของตนมากสุดก็ตัดสินให้ชนะ

     เทศกาลที่เล่นชักเย่อ

ในฤดูแล้งเล่นได้ตลอดเวลา การเล่นจะเล่นในที่แจ้งสนามหญ้า ทุกเทศกาลที่ต้องการให้เกิดความสนุกสนาน รื่นเริง เนื่องจากไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์มาก 

    คุณประโยชน์ของชักเย่อ

เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียง เป็นการออกกำลังกายและรื่นเริงสนุกสนาน 

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

เตยหรือหลิ่น

                เตยหรือหลิ่น


                           


     การละเล่นเตยหรือหลิ่น 
 เรื่องของการละเล่นที่มีอยู่ในประเทศไทยเรานั้น เนื่องจากว่ามีการละเล่นที่หลากหลาย ทั้งเป็นการละเล่นพื้นบ้านหรือว่าเป็นการละเล่นที่มีอย่างแพร่หลาย ทำให้คนเราไม่สามารถที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของการละเล่นได้ทุกอย่างค่ะ ซึ่งมีหลายคนที่อาจจะคุ้นเคยกับการละเล่นของท้องถิ่นตัวเองบ้างแล้ว แต่สำหรับหลายคนเรื่องของการละเล่นอาจจะไม่รู้จักเลยก็ได้ เนื่องจากว่าไม่ค่อยจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการละเล่นของท้องถิ่นสักเท่าไหร่ แต่การละเล่นที่เด็กๆอาจจะรู้จักกันดีบ้างนั้นก็มีมากมายเช่นกัน อย่างเช่นการละเล่นเตยหรือว่าหลิ่นนั้นเอง
สำหรับการละเล่นเตยหรือว่าหลิ่นนั้นก็สามารถที่จะเล่นได้ตามสถานที่เล่น ที่มีลานกว้าง ที่โล่งแจ้งสามารถวิ่งได้อย่างคล่องตัว และชาวจังหวัดตากก็ได้มีการละเล่นนี้มาอย่างยาวนานเมื่อเวลาได้ดำเนินมาจนถึงปัจจุบันการละเล่นเตยหรือว่าหลิ่นก็ได้มีการขยายและเป็นที่รู้จักกันอย่างกวางขวางกว่าเดิมด้วยเช่นกันค่ะ เด็กๆที่ต้องการจะเล่นก็สามารถที่จะเล่นได้ตามความต้องการทุกเมื่อด้วยเองจากว่าเป็นการเล่นที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆสำหรบการเล่นเลย จำนวนผู้เล่นก็จะเล่นได้ครั้งละประมาณ ๖-๑๒ คน เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายได้ การละเล่นเตยหรือว่าหลิ่นเป็นการละเล่นที่จะทำให้ผู้เล่นได้มีความสามัคคีในหมู่คณะที่เล่น อีกทั้งยังได้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันด้วย เด็กหลายคนได้รับไหวพริบจากการละเล่นนี้ เนื่องจากว่าต้องใช้ความรวดเร็วและก็จังหวะที่ดีในการเล่นด้วยเช่นกัน สามารถที่จะเล่นได้หลายคนและก็ยังเป็นการละเล่นที่สร้างความสนุกสนานได้ทั้งผู้เล่นและก็สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่คอยลุ้นคอยเชียร์อีกด้วย การละเล่นที่มีความสนุกสนานเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เราคนรุ่นหลังต้องมีการอนุรักษ์ไว้ เพื่อที่จะได้สืบทอดต่อไปชั่วลูกหลาน
               
    ผุุู้เล่นและอุปกรณ์
จำนวนผู้เล่น ๖-๑๒ คน

    วิธีการเล่น
ขีดเส้นเป็นตารางจำนวนเท่ากับผู้เล่น (สมมติว่ามี ๖ คน) แล้วแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยืนประจำเส้น (ตามขวาง) อีกฝ่ายจะวิ่งผ่านแต่ละเส้นไปโดยไม่ให้เจ้าของเส้นแตะได้ เมื่อเริ่มเล่นคนที่ยืนประจำเส้นแรก พูดว่า ไหล หรือ หลิ่น ฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มวิ่งผ่านเส้นแรกไปจนถึงเส้นสุดท้ายแล้ววิ่งกลับ ถ้าวิ่งกลับถึงเส้นแรกโดยไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามแตะได้ก็พูดว่า เตย ก็จะเป็นฝ่ายชนะ